SETTRADE.COM - SAA Consensus หุ้นที่มีการ update วันนี้

Wednesday, May 6, 2009

สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง - จงอย่าหมดศรัทธากับชีวิต - Part 1

สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง เป็น คนที่มีตำนาน เขาไม่ใช่นักธุรกิจแบบทั่วๆไป แต่เป็นคนที่มีสีสัน มีชีวิตที่โลดโผนและต่อสู้มาตลอด แม้ในวัย 68 ปีในทุกวันนี้ ซึ่งหลายคนอาจคิดวางมือ ส่งผ่านธุรกิจให้รุ่นลูกรุ่นหลานดูแลรับช่วงต่อ แต่สวัสดิ์ไม่เคยคิดเช่นนั้น ลูกๆของเขาต่างมีธุรกิจของตนเอง ลูกชายรับช่วงธุรกิจบางอย่างจากเขา ส่วนลูกสาวมีธุรกิจเล็กๆที่น่ารัก แต่ในใจเขานั้นไม่เคยคิดเกษียณจากการทำงาน งานคือชีวิตของคนไฮเปอร์อย่างสวัสดิ์ จะทำงานไปจนกว่าจะทำไม่ไหว ชีวิตของเขาแน่นอนเป็นการลงทุนอยู่แล้ว ลงทุนทั้งในแง่น้ำพักน้ำแรงและความคิด แต่แม้ชีวิตจะคือการลงทุน มันก็ยังไม่ถึงเป้า มันต้องสู้ด้วย ซึ่งใครๆก็พูดมานานแล้วว่าชีวิตต้องสู้ และชีวิตของสวัสดิ์นั้นเป็นประเภท Never give an inch. “นิ้วหนึ่งกูก็ไม่ถอยให้มึง”

วิกฤติ “ต้มยำกุ้ง”ปี 1997 ทำให้ธุรกิจเหล็กมูลค่าแสนล้านของเขาต้องล่มสลาย เขาต้องเป็นหนี้สินมากมาย เข้าร่วมในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อหาหนทางใช้หนี้คืนให้สถาบันการเงิน หลังจากเวลาผ่านไป 10 กว่าปี กิจการที่เคยนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯถึง 3 แห่ง กลับเหลืออยู่ในมือเพียงแห่งเดียว

ทฤษฎีเก่าๆใช้ไม่ได้แล้ว พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป

โลก ในทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดหรือจะได้เห็นในคนรุ่นหนึ่ง ก็สามารถเกิดขึ้นได้ สวัสดิ์เน้นย้ำกับทีมงานเป็นประเด็นแรกของการสนทนาว่าในยามนี้ทฤษฎีหรือแนว คิดเก่าๆที่มีอยู่ต่างใช้อธิบายโลกและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ไม่ได้ “ผมไม่เชื่อ Kuru คนใดทั้งนั้น ที่ดร.หรือนักเศรษฐศาสตร์มาพูดว่าอีก 2 ปีจะดี อีก 3 ปีดี 5 ปีดีนี่ No one knows. เพราะเวลานี้ นี่ผมคิดแบบคนที่ไม่ได้เรียนอะไรมา แต่ว่าอยู่ในวงการธุรกิจ ทฤษฎีเก่าๆใช้ไม่ได้หมดแล้ว เพราะพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปแล้ว นักธุรกิจเปลี่ยนหมด เวลานี้คนไร้จริยธรรมมีมากขึ้น”

เขา อ้างถึงในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่าธนาคารชาติอังกฤษได้จัดพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเพื่ออัดฉีดเงินใส่ เข้าไปในระบบการเงินของประเทศจำนวน 150,000 ล้านปอนด์ และคาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้เงินปอน์ดมีค่า 1 ปอนด์เท่ากับ 1.20 เหรียญดอลลาร์ หรือเท่ากับ 40 บาท เหตุการณ์นี้ทำห้สวัสดิ์คิดว่า “วันนี้ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์การเงินคนใดที่จะอ่าน sign ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราไม่รู้จริงๆว่าอเมริกาอัดเงินเข้าไปในเซคเตอร์การเงินนี่ ก็ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นอย่างไร พออัดเงินเข้าไปสักพัก หุ้นก็ลง วอลล์สตรีทดัชนีเหลือ 7,000 เท่านั้น จากเดิมอยู่ที่ 14,000 และยังไม่รู้ว่า bottom line อยู่ตรงไหน”

สวัสดิ์เปรียบเทียบวิกฤติ ครั้งนี้กับครั้งที่เขาเจอว่ามีความแตกต่างกันพอสมควร เพราะในยุคหลังนี้ได้มีการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับมีการวางกฎกติกาต่างๆชัดเจน มากขึ้น “กฎหมายมีการปิดช่องโหว่และกำหนดบทลงโทษค่อนข้างหนัก โดยเฉพาะสำหรับ auditor หรือผู้สอบบัญชีที่จะตรวจสอบบริษัท แล้วบริษัทที่อยู่ใน ตลท.ก็ถูกวางกติกาไว้ มีกรอบแข็งแรงมาก ไม่ว่ากรรมการภายนอกที่เข้ามาต้องมีความรับผิดต่างๆหรือ liability สูงมาก ในเมื่อวางบทลงโทษและปิดช่องโหว่ทางกม.ไปหมดแล้ว ตอนนี้อะไรเกิดขึ้น คนที่ตั้งใจจะคดโกงเริ่มหาทางออกไม่ได้ มันก็โกงซึ่งๆหน้าหมด ไม่ต้องมี tactic อะไรเลยเพราะเขาล้อมไว้หมดแล้ว มันก็เอาเงินออกไปเลยไง ถูกไหม หน้าด้านๆเอาเงินออกไปเลย และหนีไปเลย

ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยนะ อเมริกาก็เหมือนกัน คนจะหาช่องโหว่ หา tax consultant มาหาทางออก ว่าจะโกงแบบนี้ๆ ได้ไหม เวลานี้มันถูกล้อมกรอบจนออกไม่ได้ มันก็เอาเงินไปเฉยๆเลย เหมือนกับโกงซึ่งๆหน้า อย่างเวลานี้นักธุรกิจที่มีชื่อดังๆหลายคนในประเทศ ก็หอบเงินหนีหมด เอาลูกเมียไป หนีหมด คือไม่ได้โกงแบบมีเทคนิคแล้ว ไม่ต้องแล้ว เพราะว่าถูกล้อมจนหาทางออกไม่ได้แล้ว

อย่างในคัมภีร์ไบเบิลมีคำสอน ว่า ถึงแม้พระเจ้าจะปิดประตู แต่ในเวลาเดียวกันพระเจ้าก็เปิดหน้าต่างเอาไว้ แต่เวลานี้ดันปิดหน้าต่างอีก ไม่มีทางออกเลย มันก็เลยเผาบ้านเลย ถูกไหม คุณเห็นไหมว่าทุกบริษัทที่โกงๆกันนั้น ไม่มีเทคนิคอะไรเลย

จริยธรรม ไม่ต้องมีแล้ว เพราะว่ามันถูกล้อมกรอบจนใช้สันดานดิบของมนุษย์แล้ว ตอนนี้อะไรเกิดขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน อเมริกาบังคับสวิสเซอร์แลนด์ให้เปิดเผยบัญชีลับทุกบัญชี ทางสวิสก็บอกว่าไม่เปิด แต่ว่าขอยอมจ่ายค่าปรับไป 700 ล้านเหรียญใช่ไหม ที่เป็นข่าว ดังนั้นเวลานี้เราก็คิดแบบคนที่ไม่ได้จบทางการเงินเลย มันมีคนเสียและคนได้ ไอ้คนที่ได้ก็โกงไปน่ะ แล้วเงินไปไหน

เพราะดัง นั้นเราคิดแบบคนที่ไม่ได้จบเศรษฐศาสตร์การเงินเลย คิดแบบมนุษย์คิดเลยว่ามันก็คงต้องไปซ่อนอยู่กับแบงก์แบบนี้แหละ ที่สิงคโปร์ สวิส หรือเกาะใดเกาะหนึ่ง เขาอยากจะรู้ว่าบัญชีฝากเงินพวกนี้มีใครบ้าง ให้แบงก์สวิสเปิด แต่ว่าแบงก์สวิสไม่ยอมเปิด ถูกไหมครับ มันต้องมีคนได้คนเสีย คนที่ได้อาจจะมีไม่กี่คน แต่ว่าใครล่ะ

ในชั่วโมงที่เศรษฐกิจดีทั้ง โลกนั้น มันก็มีทั้งคนที่รวยและเจ๊ง ไม่ใช่ว่าเศรษฐกิจดี ทุกคนจะรวยหมด มันไม่ใช่ และในชั่วโมงที่เลวสุดอย่างนี้ มันก็ต้องมีคนรวย มันไปไหนล่ะ ไม่ใช่ว่าจนกันหมดทั้งโลกนะ”

สวัสดิ์ยอมรับแม้กระทั่งตัวเขาที่ผ่าน ทั้งยุครุ่งโรจน์และร่วงโรยของการทำธุรกิจ “ผมมองวันนี้นี่ อ่าน sign ไม่ออกเลย” สมัยก่อนที่สวัสดิ์ทำธุรกิจ เขาบอกว่าจ่ายดอกเบี้ย อย่างต่ำคือกู้จากแบงก์ 12% บางครั้ง 15% หรือ 18% เขายังอยู่ได้ และโตมาเรื่อย แต่วันนี้อะไรเกิดขึ้น ดอกเบี้ย 5% กลับอยู่ไม่ได้

เพราะ อะไร “ก็อยู่ๆตลาดหายหมดเลยนี่ แล้วเวลานี้ผมดูรัฐบาลทุกคนอัดเงินเข้าไปช่วย ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็ตาม และไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ทำคนเดียว ทุกประเทศเขาก็ทำกัน แต่ว่าส่วนหนึ่งเพื่อจะเสริมสร้าง purchasing power หรือกำลังซื้อให้แข็งแรง แต่ในเวลาเดียวกันคุณก็ทำลายกำลังซื้อที่แท้จริงไปอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มคน ที่มีเงินฝาก อย่างสมมติคนที่เกษียณแล้วมีเงินฝาก 3-4 ล้านบาท เมื่อก่อนนี้ดอกเบี้ย 8-10% คุณยังมีเงิน 20,000-30,000 บาทใช้ทุกเดือน แต่วันนี้ส่วนนี้หายไปแล้ว มันเหลือครึ่งเปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้อย่างไร คนพวกนี้ตายแล้ว กำลังซื้อจริงๆส่วนนี้หายไป แต่ว่าเราก็ไปสร้างกำลังซื้อเทียมมาเพื่อเอาเงินมาแจก ไม่ว่าจะเป็นเช็คหรือคูปองก็ตามแต่ เพราะว่าทั่วโลกเขาก็ทำกัน ผมไม่ได้ตำหนิรัฐบาลไทยนะ เพราะว่ามันไม่มีทางออกอยู่แล้ว ญี่ปุ่นก็เคยแจกเงิน เกาหลีก็แจก อเมริกาก็แจก ถูกไหม แต่ว่าคนที่ไม่ต้องพึ่งใครเลย มีเงินฝากไว้ เกษียณมาไม่ต้องพึ่งใครเพราะมีเงินฝาก สมมติ 2 ล้านบาทสมัยก่อนได้ 10% ก็ได้ปีละ 200,000 บาท เฉลี่ยเดือนละ 16,000 บาท ก็พอใช้ได้ อยู่ได้สบาย แต่วันนี้กลุ่มนี้หายไปแล้ว จะไปเรียกร้องเขาบอกว่ามาลงทุนเถอะ ไม่ว่าจะเป็นตลาดบอนด์ ตลาดหุ้น หรืออะไรก็ตามแต่นี่ คนเหล่านี้เขาไม่เคยมีความรู้ คุณคิดว่าจะเอาเงินเขามาได้หรือ แม้กระทั่งเวลานี้กองทุนต่างๆก็เจ๊ง ใช่หรือเปล่า ดังนั้นจะไปสนอเขาว่ามาลงทุนในตลาดไหนก็ตาม เวลานี้คือไปสอนคนที่ไม่เคยเล่นไม่เคยลงทุนเลย แล้วมาเรียนหนังสือ มาเรียน ก ข เพื่อที่จะลงทุน และโลกการเงินเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่มาหรอก ได้แค่ครึ่งเปอร์เซนต์เขาก็ฝากทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น วันนี้ผมไม่เชื่อนักเศรษฐศาสตร์คนไหนที่จะมาพูดเลยว่าอเมริกาอัดฉีดเงินเข้า มา 70,000 กว่าล้านล้านเหรียญ แล้วจะดีขึ้น วันนี้ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น พอผ่านสภาฯเป็นอย่างไร หุ้นตกทันที

เวลานี้คุณไปสัมภาษณ์ใครก็น่า เบื่อ เห็นไหม อ่านวิเคราะห์ตอนเช้า ก็บ้าแล้ว และรัฐบาลเอาเงินไปแจก ถูกต้อง แต่ว่าคนกลุ่มหนึ่งที่พึ่งตัวเองได้ในอดีต กลับพึ่งไม่ได้แล้ว เงินฝากของเขาไม่มีผลอะไรเลย เพราะฉะนั้นคนซื้อกลุ่มนี้ที่เป็น Real Purchasing Power หายไปเลย เผลอๆต่อไปต้องจ่ายค่ารักษาเงินให้ธนาคารด้วยกระมัง ครึ่งเปอร์เซนต์ก็ไม่ได้แถมยังต้องจ่ายเงินให้แบงก์ด้วย”

[ คอลัมน์ Cover Story โดย ภัชราพร ช้างแก้ว นิตยสาร M&W เมษายน 2552 ]

No comments:

Post a Comment