SETTRADE.COM - SAA Consensus หุ้นที่มีการ update วันนี้

Tuesday, May 19, 2009

หลักทรัพย์คุณค่า เพื่อผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

ในขณะที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยชะลอตัว แต่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังแข็งแกร่ง มีผลกำไรจากการประกอบการ ประกาศจ่ายเงินปันผลกว่าร้อยละ 50 ของกำไรในปี 2551 มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูงถึงร้อยละ 8.87 ดังนั้นการเลือกลงทุนในหุ้นคุณค่าในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็เป็นอีก ทางเลือกหนึ่งของผู้มีเงินออม

เศรษฐกิจขาลง หุ้นปันผลเป็นอีกทางเลือกของนักลงทุนและผู้มีเงินออม ด้วยอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในปี 2551 แม้ทิศทางเศรษฐกิจขาลง บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) มีผลกำไรสุทธิรวมกว่า 2 แสนล้านบาท และมีการจ่ายปันผลรวมกว่า 2 แสนล้านบาท โดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลร้อยละ 8.87 สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนของ 5 ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ซึ่งต่ำกว่าร้อยละ 1

จากข้อมูลการจ่ายเงินปันผลในช่วงไตรมาส 1 ปี 2552 พบว่า จาก 245 หลักทรัพย์ที่ประกาศจ่ายปันผล มีหลักทรัพย์ถึง 158 หลักทรัพย์ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าร้อยละ 6.825 หรือมากกว่า 7 เท่าของเงินฝากประจำ 12 เดือน ดังนั้นอาจกล่าวว่า การลงทุนในหุ้นปันผลเป็นอีกทางเลือกของนักลงทุนและผู้มีเงินออมในการลงทุน ที่เน้นการลงทุนในระยะยาวโดยได้รับเงินปันผลเป็นเงินตอบแทน

หลักทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนต่อเงินปันผลสูงสุด 50 หลักทรัพย์แรก มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 16.54 โดยหลักทรัพย์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มบริการ หมวดการแพทย์ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีรายรับเป็นเงินสดทั้งหมด รองลงมาคือ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดแฟชั่น

ในกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงสุด 50 อันดับแรก พบว่า เป็นหลักทรัพย์นอกกลุ่ม SET100 ถึง 27 หลักทรัพย์ ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า หลักทรัพย์ตัวกลางๆ หรือเล็กๆ ที่น่าสนใจในตลาดทุนไทยยังคงมีอยู่มาก มีหลายสาเหตุที่หลักทรัพย์เหล่านี้มีผลประกอบการดีและสามารถปรับตัวได้ใน สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

1. เป็นธุรกิจที่มีรายรับเป็นเงินสดหรือให้เครดิตการค้าระยะสั้น เช่น ธุรกิจบริการด้านการแพทย์ ที่มีรายรับเป็นเงินสด หรือเป็นธุรกิจที่มีการควบคุมเกี่ยวกับเครดิตการค้าที่ดี ให้เครดิตการค้าระยะสั้น

2. เป็นธุรกิจที่มีลูกค้าหลักที่แน่นอนและเป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ กลุ่มลูกค้าหลัก เช่น ธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีสื่อสาร หรือเป็นธุรกิจที่มีการทำสัญญาในการให้บริการระยะยาวกับลูกค้า ส่งผลให้ราคาค่าบริการไม่ปรับลดลงมาก เช่น ธุรกิจการขนส่งทางทะเล เป็นต้น

3. เป็นธุรกิจที่มีการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จากสร้างสมดุลของรายรับรายจ่าย ที่เป็นเงินตราต่างประเทศหรือทำสัญญาซื้อขายเงินตราล่วงหน้ากับธนาคาร พาณิชย์

ประเด็นสำคัญที่น่าพิจารณา คือ บางธุรกิจมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการค้า เช่น กลุ่มธุรกิจอาหารทะเล ที่เดิมฐานลูกค้าเป็นกลุ่มยุโรป อเมริกา ก็ได้มีการทำตลาดใหม่ในตลาดกลุ่มอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบด้านภาวะวิกฤติเศรษฐกิจน้อยกว่า เช่น ลูกค้ากลุ่มแอฟริกา เป็นต้น

ด้านสภาพคล่องของหลักทรัพย์ที่มีให้ Dividend Yield สูงสุด 50 อันดับแรก เมื่อพิจารณาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operating Activities) พบว่า เกือบทุกบริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก รวมกว่า 56,000 ล้านบาท แสดงว่า บริษัทเหล่านี้มีสภาพคล่องเพียงพอที่มีดำเนินงานและบริหารงานได้ เมื่อพิจารณาภาระหนี้สินจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt / Equity Ratio) พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.9 เท่า ซึ่งถือว่ามีระดับหนี้สินค่อนข้างต่ำ

หลักทรัพย์คุณค่า (Valued Stock) มีความน่าสนใจแค่ไหนนั้น เราสามารถพิจารณาใน 2 ประเด็น ประเด็นแรก ราคาตลาดปัจจุบัน น่าเข้ามาลงทุนหรือไม่ หากลงทุนระยะยาวมีโอกาสทำกำไรจากราคามากน้อยแค่ไหน ประเด็นที่ 2 หลักทรัพย์นั้นจ่ายปันผลดีแค่ไหน

ประเด็นแรก จากดัชนีหลักทรัพย์ (SET Index) ปี 2551 ปรับตัวลดลงจากปี 2550 ถึงร้อยละ 48 ซึ่งคาดว่าใกล้จุดต่ำสุดแล้ว กอปรกับข้อมูล P/E ของหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นในช่วง สิ้นปี 2551 - สิ้นเดือนมีนาคม 2552 ที่ปรับตัวสูงขึ้นจาก 7.26 เป็น 11.1 เท่า สะท้อนให้เห็นทิศทางขาขึ้นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้น จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเข้ามาถือเพื่อลงทุนระยะยาว

ประเด็นที่ 2 ความสามารถในการจ่ายเงินปันผลนี้ พิจารณาจากความสามารถในการทำกำไร พบว่า จากข้อมูลของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เผยแพร่ใน www.settrade.com ซึ่งสำนักวิจัยต่างๆ ได้ประมาณการผลกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน ล่าสุดเดือนพฤษภาคม 2552 เปิดเผยว่า ประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน ปี 2552 จำนวน 161 บริษัท (ประกอบด้วยบริษัทในกลุ่ม SET50 จำนวน 50 บริษัท และบริษัทจดทะเบียนนอกกลุ่ม SET 50 อีก 111 บริษัท) จะมีมูลค่าสูงถึง 354,417 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากปี 2551 ทั้งนี้คาดว่าผลการขาดทุนอย่างมากในไตรมาส 4/2551 อันเนื่องจากการปรับลดลงของราคาสินค้าประเภทพลังงาน ไม่ควรเกิดขึ้นอีก ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จ่ายน่าจะเพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้นักลงทุนได้ โดยพิจารณาเลือกลงทุนในหลักทรัพย์คุณค่า มีประวัติการจ่ายปันผลดี ฐานะการเงินมั่นคง และเน้นการลงทุนระยะยาว รับเงินปันผลเป็นรายปี และมีกำไรส่วนต่างราคาในระยะยาว ซึ่งก็เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจของนักลงทุนและผู้มีเงินออม

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2427 17 พ.ค. - 20 พ.ค. 2552

No comments:

Post a Comment