SETTRADE.COM - SAA Consensus หุ้นที่มีการ update วันนี้

Friday, May 15, 2009

อียูสั่งปรับ‘อินเทล’5หมื่นล. ฐานกีดกันคู่แข่งทำ การค้า

อียูสั่งปรับอินเทล 1,450 ล้านเหรียญสหรัฐ ฐานกีดกันคู่แข่งทำ การค้า

อินเทล คอร์ป บริษัทผู้ผลิตชิปขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจากสหรัฐ ถูกสหภาพยุโรป (อียู) สั่งปรับเงินเป็นมูลค่าถึง 1,450 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5 หมื่นล้านบาท) ในข้อหาใช้กลยุทธ์รุกตลาดชิปคอมพิวเตอร์อย่างหนัก เพื่อกีดกันคู่แข่งทางการค้า โดยคาดว่าการลงโทษดังกล่าวจะยิ่งกดดันให้รัฐบาลสหรัฐสืบสวนสอบสวนการดำเนิน งานของอินเทลต่อไป

รายงานแจ้งว่า การสั่งปรับอินเทลครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ อิงค์ (เอเอ็มดี) บริษัทคู่แข่งสำคัญของอินเทล ในฐานะผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยเอเอ็มดีเป็นผู้ยื่นหนังสือฟ้องร้องอินเทล รวมทั้งโน้มน้าวให้ผู้รักษากฎหมายทั่วโลกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ให้รับคำร้องเรียนที่ระบุว่า อินเทลแทรกแซงบริษัท ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ทั้งในสหรัฐและ ต่างประเทศ ที่ทำข้อตกลงทางการค้ากับ เอเอ็มดี

“อินเทลเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคในยุโรป ด้วยการจงใจดำเนินการขจัดคู่แข่งทางการค้าในตลาด อินเทลไม่ได้แข่งขันอย่างยุติธรรม ขัดขวางการสร้างสรรค์นวัตกรรม รวมทั้งลดสวัสดิภาพในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคไปพร้อมๆ กัน” นีลี โครส คณะกรรมาธิการด้านการแข่งขันทางการค้าประจำอียู ระบุ

คณะกรรมาธิการอียูยังได้แจ้งให้อินเทลยุติการใช้กลยุทธ์ทางการตลาด บางกลยุทธ์ในยุโรปด้วย แม้จะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นกลยุทธ์ใด ขณะที่อินเทลระบุว่า ยังเคลือบแคลงต่อคำสั่งดังกล่าว แต่ก็จะดำเนินการตามที่ได้รับคำสั่ง ขณะที่ดำเนินการยื่นคำร้องขออุทธรณ์

“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากเห็น กับอีกฝ่ายหนึ่งที่น่าจะกล่าวได้ว่าใช้นโยบายที่ต่ำทราม” พอล โอเทลลินี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอินเทล กล่าว ทั้งนี้กลยุทธ์การขายของอินเทลยังรวมถึงการหักคืนภาษีให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ ของบริษัทด้วย

ขณะที่ เดิร์ก ไมเยอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอเอ็มดี กล่าวว่า การตัดสินใจของอียูเป็นก้าวที่สำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์ตลาดที่มีการ แข่งขันทางการค้าอย่างแท้จริง

“เรากำลังมองไปยังอนาคตที่ผู้บริโภคเป็นเจ้าของตลาด ไม่ใช่อินเทล” ไมเยอร์ กล่าว

ก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์ บริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐก็ถูกอียูสั่งปรับเป็นมูลค่า 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.49 หมื่นล้านบาท) ในข้อหากีดกันทางการค้าเช่นกัน

No comments:

Post a Comment