นอกจากนี้ เครดิตสเปรดของหุ้นกู้อันดับเครดิต BBB จากที่เคยบวกไปถึง 3% ถึง 3.5% ได้ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 3% เช่นกัน แต่ยังไม่มาก และเครดิตสเปรดในบางกลุ่มธุรกิจของอันดับเครดิต BBB ยังไม่ได้ลดลงมากนัก เช่น กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังจำเป็นต้องบวกเพิ่มดอกเบี้ยเพื่อชดเชยความเสี่ยงอยู่
“หลังเกิดวิกฤตการเงิน บริษัทที่ต้องการออกหุ้นกู้ต้องบวกดอกเบี้ยเข้าไปเพิ่มหรือเครดิตสเปรด แต่ตอนนี้เริ่มเห็นทิศทางลดลงของหุ้นกู้ที่มีเครดิตสูงๆ ระดับ AAA แต่ระดับ BBB ยังไม่ลดมากนัก เพราะบางธุรกิจที่นักลงทุนไม่เชื่อมั่น ยังต้องบวกดอกเบี้ยเพิ่มในอัตราที่สูง”
สำหรับปี 2553 คาดว่าเครดิต สเปรดจะปรับตัวลดลงได้อีก 0.2% ถึง 0.3% เนื่องจากปัญหาสถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลาย และทิศทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น ทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มดอกเบี้ย เพื่อดึงดูดนักลงทุน
ประกอบกับกลางปีหน้า คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ขึ้นดอกเบี้ย เพราะต้องการให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ เพื่อให้สกุลเงินสหรัฐอ่อนค่า มีความสามารถในการแข่งขันทางการค้ามากขึ้นและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับภาคเอกชน คาดว่า จะมีการออกหุ้นกู้มูลค่า 2-2.5 แสนล้านบาท จากปี 2552 มีมูลค่า 4 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่ได้เร่งออกหุ้นกู้ตั้งแต่ ปี 2552 โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มปตท. ซึ่งปี 2553 จะไม่เห็นกลุ่มปตท.ออกมามากเหมือนปี 2552 คงเหลือการระดมทุนของบริษัท ปตท.เท่านั้น
นอกจากนี้ ผลกระทบจากปัญหามาบตาพุดจะมีผลต่อหุ้นกู้เอกชนที่ถูกระงับโครงการ ก็ยังไม่มีความจำเป็นจะต้องระดมเงิน
PostToday:วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552
No comments:
Post a Comment